Watcharapon Church Of Christ

โปรแกรมเวลานมัสการวันอาทิตย์

รอบเช้า : เวลานมัสการ 9.30-11.30 น.
รอบเช้า : ชั้นเรียนพระคัมภีร์ คือ 11.15-12.00 น.
รอบเย็น :เวลานมัสการ 17.00-18.00 น.

Watcharapon Church of Christ

Watcharapon Church of Christ
คริสตจักรของพระคริสต์วัชรพล

แผนที่ไป..คริสตจักรของพระคริสต์ วัชรพล

แผนที่ไป..คริสตจักรของพระคริสต์ วัชรพล
แผนที่แสดงเส้นทางไปคริสตจักรของพระคริสต์ วัชรพล

ศูนย์การประกาศพระคริสต์ บนถนนรามคำแหงซอย 22

ศูนย์การประกาศพระคริสต์ บนถนนรามคำแหงซอย 22
ศูนย์ประกาศถนนรามคำแหง ซอย 22 - Ramkhamhaeng Christian Center (RCC)

จับกลุ่มเสวนาของนักศึกษารามฯและพี่น้องจากศูนย์ประกาศ RCC

ความเชื่อและความร่ำรวย

คุณอยากรวยไหม? คุณคิดว่า ความเชื่อของคุณจะนำความมั่งคั่งมาให้ได้หรือเปล่า? คุณกำลังมองหาความร่ำรวยแบบไหน?
ถ้าคุณต้องการทรัพย์สมบัติ ผมมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายมาบอก
ข่าวดี คือ พระวจนะของพระเจ้าสัญญาว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์จะมีความมั่งคั่งอย่างแน่นอน "ข่าวร้าย" คือ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเงิน
ตัวอย่างของความมั่งคั่งที่จะเป็นของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์มี ดังนี้
ความเข้าใจในพระเจ้า พระบิดา พระบุตร "ซึ่งคลังสติปัญญาและความรู้ทุกอย่างทรงปิดซ่อนไว้ในพระองค์" (คส. 2:2-3)
พระคริสต์ผู้เป็น "ความหวังแห่งศักดิ์ศรี" ทรงสถิตในเรา (คส. 1:27)
กำลังเรี่ยวแรงมากฝ่ายจิตใจ "โดยเดชพระวิญญาณของพระองค์" (อฟ. 3:16)
เรามีทุกสิ่งที่จำเป็น โดยพระเจ้าทรงประทานให้ (ฟป. 4:19)
พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้า (รม. 11:33)
"การไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาปของเรา" โดยพระกรุณาอันอุดมของพระองค์ (อฟ. 1:7)
พระวจนะของพระเจ้าสัญญาว่า "เราจะร่ำรวยในสิ่งที่เงินจำนวนมากมายมหาศาลเพียงใดก็ซื้อไม่ได้ และความมั่งคั่งเช่นนี้แหละที่เราต้องแสวงหา ชื่นชมและใช้เพื่อถวายเกียรติแด่พระบิดาแห่งสวรรค์ ซึ่งทรงเป็นผู้ประทานแก่เรา"

เตรียมพร้อมสำหรับแคมป์ไฟของศูนย์ประกาศ RCC

สอนภาษาอังกฤษฟรีโดยครูชาวต่างชาติเจ้าของภาษาที่ศูนย์ประกาศ RCC

มลภาวะทางเสียง

คำพูดใส่ร้ายป้ายสีและหยาบคาย(ลามก)กำลังกลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมปัจจุบัน แม้แต่ผู้เขียนบทความในนิตยสารและหนังสือพิมพ์ตลอดจนผู้ผลิตรายการวิทยุโทรทัศน์มากมายก็ดูเหมือนจะจงใจยัดเยียดถ้อยคำที่ผิดศีลธรรมและน่ารังเกียจเหล่านี้ออกสู่สาธารณะให้ได้มากที่สุด
ภาษาที่หยาบคายและสกปรกเป็นมลพิษที่เลวร้ายที่สุด เป็นการลบหลู่เกียรติพระเจ้าและลดคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่ใช้มัน คำสนทนาที่คั่นด้วยคำโกหกใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น คำแช่งด่า คำสบถสาบาน และคำพูดหยาบคาย(ลามก) ทำลายความงดงามของความคิดของผู้สื่อออกมาได้อย่างชัดเจน คำพูดประณามหยามหมิ่นผู้อื่นอาจทำให้ไฟแห่งโทสะปะทุขึ้น และทำลายความสัมพันธ์ต่อกัน มันทำให้หัวใจอันอ่อนไหวต้องเจ็บปวดเมื่อถูกทำร้ายด้วยคำพูด คำพูดที่ร้ายกาจสร้างบรรยากาศแห่งความแตกแยก ไร้ศีลธรรม และไม่เสริมสร้างจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของความคิดและการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ และน้ำเสียงที่เสียดแทงอึกทึกมีแต่จะกลบเสียงแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า นี่เป็นเหตุผลที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวชัดเจนถึงคำพูดประเภทที่ไม่ควรออกจากปากของผู้ที่ติดตามพระเยซู (คส 3:8) และในขณะเดียวกันก็บอกถึงลักษณะคำพูดที่เราควรใช้ด้วย (คส 4:6)
ผู้เขียนหนังสือสดุดีได้มอบคำอธิษฐานที่จะเป็นการฉลาด หากเรากล่าวตามว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงตั้งยามเฝ้าปากของข้าพระองค์ ขอรักษาประตูริมฝีปากของข้าพระองค์" (สดด 141:3) วันนี้ เราทุกคนต้องการคำอธิษฐานมากขึ้น เพื่อขอพระเจ้าทรงช่วยเรา เพื่อเราจะได้เป็นผู้ดีรอบคอบและชอบธรรมในสายพระเนตรพระเจ้า นอกเหนือจากการดำเนินชีวิตที่เรามักจะคิดว่าตัวเองทำดีอยู่แล้ว

กิจกรรมชายหาดของพี่น้องจากศูนย์ประกาศ RCC

การเชื่อฟังและไว้วางใจพระเจ้า

นักไต่เขาท่านหนึ่งชื่อ จิม ในทุก ๆฤดูหนาวเขาจะต้องเดินทางไปยังตีนหน้าผาเพื่อทำการไต่เขาอันเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบ การเตรียมการตั้งแต่วันเริ่มเดินทางเพื่อพิชิตยอดเขานั้นต้องใช้เวลา 2-3 วัน และเพื่อความปลอดภัย นักไต่เขาจะต้องแจ้งเส้นทาง ระยะเวลา และวันที่จะเริ่มออกเดินทางให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเขตนั้นทราบก่อนทุกครั้ง และจิมก็ได้ปฏิบัติตาม วันแรกที่จิมออกเดินทาง จิมได้อธิษฐานต่อพระเจ้าฝากการเดินทางไว้กับพระองค์ ในวันที่สองเมื่อเดินทางมาถึงตีนเขาเพื่อจะปีนหน้าผาที่ยื่นเอียงออกไปอันสูงชันเป็นระยะทางแนวดิ่งประมาณความสูงของตึก 20 ชั้น(ประมาณ 50 เมตร) และก่อนที่จิมจะเริ่มไต่ขึ้นไป เขาได้อธิษฐานทูลขอพละกำลังจากพระเจ้า ตั้งแต่เช้าจนบ่าย จิมได้ใช้ความพยายามปีนจนเกือบถึงยอดหน้าผา แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อจิมก้าวพลาดและตกลงมาจากที่สูงเกือบเท่ากับความสูงของตึก 20 ชั้น ยังดีที่ร่างของจิมไม่ได้ตกถึงพื้นเพราะเชือกที่มัดตัวเขาอยู่ได้ดึงรั้งเขาไว้กลางอากาศและจิมก็สลบไป เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง จิมรู้สึกตัวและพบว่าตัวเองยังไม่ตาย เขาได้พยายามที่จะไต่เชือกกลับขึ้นไปบนยอดเขา แต่ไม่สามารถทำได้เพราะเรี่ยวแรงของจิมแทบไม่มีเหลือ จิมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรในท่ามกลางความมืดมิดที่มองอะไรไม่เห็นเลยอีกทั้งอากาศที่หนาวเย็นจับใจ เขานึกถึงพระเจ้าของเขาและอธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วย ในทันใดนั้นเองก็มีเสียงพูดมาจากยอดเขาว่า "จงตัดเชือกให้ขาด แล้วเจ้าจะรอด" จิมไม่แน่ใจในเสียงนั้นจึงได้อธิษฐานอีก และเสียงนั้นก็ดังขึ้นด้วยประโยคเดิมถึงสามครั้ง แต่จิมก็ไม่ได้กระทำตามคำสั่งของเสียงนั้น เพราะคิดว่าถ้าเขาตัดเชือกที่ห้อยร่างของเขาอยู่ เขาคงจะตกลงไปกระแทกกับหินตายเป็นแน่ เมื่อเวลาผ่านไปเข้าวันที่สี่ เจ้าหน้าที่ไม่เห็นจิมกลับออกไป จึงได้ออกตามหาและพบว่าจิมเสียชีวิตแล้ว เพราะอากาศที่หนาวเย็นถึงลบ 10 องศา และพบร่างของเขาห้อยติดอยู่กับเชือกห่างจากพื้นดินเพียงแค่ 2 เมตรเท่านั้นเอง การไว้วางใจพระเจ้าคือการเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ถึงแม้บางครั้งเราอาจมองไม่เห็นหรือไม่เข้าใจถึงเหตุผลของพระองค์ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การกระทำตามที่พระเจ้าตรัสทุกประการก็จะเกิดผลดีแก่ชีวิตของเรา เหตุการณ์ต่าง ๆมากมายที่เกิดขึ้นในอดีตที่เขาเหล่านั้นได้รับผลอันดีในชีวิตที่พระเจ้าได้ทรงอวยพระพรแก่เขาซึ่งเกินความคิดและความเข้าใจของมนุษย์ และผลอันดีที่เขาเหล่านั้นได้รับนั้นไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่เขาได้กระทำ หากแต่เกิดโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าให้บังเกิดขึ้น อันเป็นผลมาจากการเชื่อฟังและความไว้วางใจในพระเจ้าของเขา ในสิ่งที่เขาได้ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้าทุกประการต่างหาก (ฮบ 11:7-8) โนฮาต่อเรือตามพระบัญชาของพระเจ้า ทั้ง ๆที่เขาไม่รู้และไม่เข้าใจเลยว่านำจะท่วมโลกได้อย่างไร และอับราฮามได้ออกเดินทางตามพระบัญชาของพระเจ้าไปยังแผ่นดินแห่งคำสัญญา ทั้ง ๆที่เขาไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นและไม่รู้แม้กระทั่งว่าแผ่นดินนั้นอยู่ที่ไหน

เรียนภาษาอังกฤษจากครูเจ้าของภาษาที่ศูนย์ประกาศ RCC

พระเยซูทรงอ้างว่า "พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด"

ตามที่ มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น ได้บันทึกไว้นั้น พระเยซูได้ตรัสถึงพระราชกิจของพระองค์ในการเป็นพระผู้ช่วยให้รอดหลายครั้ง แม้ในขณะที่ความนิยมที่มีต่อพระองค์เริ่มจะทำให้ผู้นำทางศาสนาในอิสราเอลวิตกกังวล พระองค์ก็ยังได้ตรัสถึงการเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อการวายพระชนม์หลายครั้ง และบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ต่างก็คิดว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่เพียงสามปีหลังจากทรงเป็นที่รู้จักของสาธารณะชน พระองค์ก็เสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ทรงถูกผู้นำลัทธิชาตินิยมต่อต้าน และทรงถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการตรึงที่กางเขน โทษฐานที่พระองค์อ้างว่า "ทรงเป็นกษัตริย์และพระเจ้าของชาวยิว" ต่อมาภายหลังการสำเร็จโทษของพระองค์แล้ว บรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์จึงตระหนักถึงความเต็มพระทัยของพระองค์ในการวายพระชนม์ ดังคำกล่าวของผู้เบิกทางของพระองค์ โดยสามปีก่อนหน้านี้ พวกเขาได้ยินผู้เผยพระวจนะแต่งกายซอมซ่อจากถิ่นทุรกันดาร ผู้เป็นที่รู้จักในนามยอห์นผู้ให้บัพติศมา กล่าวถึงพระเยซูว่า "จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย" (ยน.1:29) เมื่อมองย้อนกลับไป ก็เป็นการสมเหตุสมผลที่จะสรุปว่า พระเยซูทรงเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชา เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้วที่บัญญัติทางศาสนาของอิสราเอลได้กำหนดให้มีการถวายเผาเครื่องบูชาเป็นสัตว์ซึ่งปราศจากตำหนิที่แท่นบูชา ตลอดระยะเวลานั้นได้มีคำกล่าวลึกลับของผู้เผยพระวจนะชาวยิวเกี่ยวกับพระเมสิยาห์ผู้จะทรงรับโทษแทนมนุษย์ชาติที่ล้มลงในความบาปด้วยพระองค์เอง แต่ความหมายของพระเมสิยาห์ผู้ทรงรับความทุกข์ทรมาณ (ปฐก. 3:15 , อสย.53 , ดนล.9:26 , ศคย 12:10) ก็ยังคงเป็นความลับจนกระทั่งภายหลังสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ตามคำพยานของผู้เห็นเหตุการณ์นับร้อย ๆคนนั้น พระเยซูได้สิ้นพระชนม์ และสามวันหลังจากนั้นพระองค์ได้เสด็จออกจากอุโมงค์โดยทรงพระชนม์อยู่ นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานที่ควรแก่การพิจารณาดังนี้
1. นักประวัติศาสตร์โลกยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นบุคคลที่มีอยู่จริง ซึ่งมีชื่อเสียงในศตวรรษที่หนึ่ง ในอิสราเอลในฐานะผู้รักษาโรคโดยการอัศจรรย์และผู้สั่งสอน
2. นักประวัติศาสตร์ของโลก (ยิวและโรมัน) ยอมรับว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์โดยน้ำมือของผู้นำทางศาสนา
3. พระคัมภีร์ระบุว่า ภายหลังสามวันการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู มีประชาชนกว่า 500 คนได้เห็นว่าพระองค์ทรงมีชีวิตอยู่
4. หากพระองค์จะทรงช่วยเราให้พ้นจากบาป แผนการของพระเจ้าในการช่วยกู้ให้รอดก็ต้องกระทำให้สำเร็จลุล่วง และโดยการตรึงกางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมจำนวนมาก ที่ว่าด้วยแผนการของพระเจ้าในการประทานอภัยโทษ ก็เป็นจริงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผู้เขียนพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มได้เสนอมุมมองต่างกันแต่เป็นข้อสรุปเดียวว่า ภาพโดยรวมของชีวิตพระเยซูนั้นไม่สามารถอธิบายได้ หากพระองค์ไม่ใช่ผู้ที่พระองค์ทรงอ้างว่าพระองค์ทรงเป็น พวกเขากล่าวว่า นอกจากจะทรงทำให้คำพยากรณ์สำเร็จเป็นจริงและดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญาอันหาที่เปรียบมิได้แล้ว พระองค์ยังทรงกระทำสิ่งต่อไปนี้ด้วย
- อัศจรรย์แห่งการรักษาโรค พระองค์ทรงรักษาคนที่ป่วยด้วยโรคเรื้อนร้ายแรง (มธ.8:2-4) รักษาคนเป็นง่อยตั้งแต่เกิด (มธ.9:2-8)(มธ.12:10-13) และทรงรักษาอาการคนตาบอดหูหนวกตั้งแต่เกิด (มธ.20:30-34) (มก.7:31-37)
- อัศจรรย์แห่งการควบคุมธรรมชาติ พระองค์ทรงเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นเหล้าองุ่น (ยน.2:1-11) ทรงห้ามพายุเหนือทะเลสาบกาลิลี (มธ.8:23-27) และทรงดำเนินบนทะเลสาบ(มธ.14:22-26)
- อัศจรรย์แห่งการฟื้นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงชุบชีวิตบุตรสาวของนายธรรมศาลา (มธ.9:18-26) บุตรหญิงม่าย (ลก.7:11-15) และชายที่ชื่อลาซาลัส (มธ.11:1-44)
ในบรรดาเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ทั้งหมดนี้ พระเยซูเองมิได้ทรงเปิดช่องให้เราสรุปเอาง่าย ๆเมื่อพระองค์ตรัสว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ นอกจากจะมาทางเรา"(ยน.14:6) พระองค์มิได้ทรงเหลือทางเลือกให้เรามากนัก พระองค์มิได้ทรงเปิดโอกาสให้เราได้คิดว่าพระองค์ทรงเป็นเพียง "ผู้สั่งสอนที่ดี" หรือ "แบบอย่างทางศีลธรรม" เท่านั้น

กิจกรรมแคมป์ไฟของศูนย์ประกาศ RCC

ฝึกการร้องเพลงที่ศูนย์ประกาศ RCC

คุณมีค่าแค่ไหน?

นักศึกษาขี้เบื่อคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยในวอชิงตันได้เข้าไปในเว็บไซท์การประมูลและได้เสนอขายวิญญาณของตัวเอง เมื่อผลออกมาปรากฏว่าเงินประมูลสูงสุดอยู่ที่เพียง 400 เหรียญเท่านั้น เนื่องจากวิญญาณไม่ใช่วัตถุสิ่งของ มันจึงไม่สามารถจะแยกออกจากร่างกายได้เหมือนอวัยวะอื่น ๆ เช่น หัวใจ นักศึกษาคนนั้นยอมรับว่า "ผมไม่ได้คิดว่าคนที่ประมูลนั้นจะสามารถเอาวิญญาณของผมไปได้" ข้อเสนอที่คึกคะนองนี้ทำให้เรานึกขึ้นได้ถึงคำถามสำคัญที่พระเยซูคริสต์ตรัสในมัทธิว 16:26 ว่า "ผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา" พระองค์ทรงท้าทายผู้ที่ฟังพระองค์ให้คิดถึง อนาคตแห่งการพิพากษา พระเยซูตรัสว่าสิ่งของสิ้นทั้งโลกนั้นเทียบไม่ได้กับคุณค่าของจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น คำถามที่ว่า คุณมีค่าแค่ไหนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีอะไรมากแค่ไหน ผู้เขียนสดุดี 49 ได้ชี้ให้เราเห็น ความโง่เขลาของคนที่ให้คุณค่าต่อสิ่งของมากกว่าจิตวิญญาณของตน เพราะเมื่อเขาตายไป เขาไม่สามารถนำอะไรติดตัวไปได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ในทางตรงข้ามผู้เขียนสดุดีได้มองที่พระเจ้าด้วยความมั่นใจว่า "พระองค์จะทรงไถ่จิตวิญญาณของข้าพเจ้าจากฤทธานุภาพของแดนผู้ตาย" (ข้อ 15) คุณเคยคิดบ้างมั๊ยว่า..คุณเองจะมีชีวิตอยู่จนถึงอายุเท่าไหร่? 70..80..90..100 ปี คุณอาจมีชีวิตอยู่ไม่เกินภายในสิ้นปีนี้..ก็เป็นได้(ถ้าหากพระเจ้าได้ทรงกำหนดชีวิตของคุณไว้ให้เป็นเช่นนั้น...และไม่มีอำนาจใดเลยในโลกนี้ที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้แล้วได้) ยังไม่สายครับ..หากคุณจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการมารู้จักกับองค์พระเยซูคริสต์...พระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดนิรันดร์กาล..พระเยซูทรงตรัสว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ นอกจากจะมาทางเรา" (ยน.14:6)

Cell Group

Cell Group
เซลกรุ๊ฟร่วมกับ LST ณ คริสตจักรของพระคริสต์ วัชรพล

กิจกรรมท่องเที่ยวนอกสถานที่ของศูนย์ประกาศ RCC

ทำไมคุณจึงควรใส่ใจพระลักษณะของพระเจ้า

พระเจ้าทรงเป็นต้นแบบ เราต้องพิจารณาตนเองเพื่อตั้งใจแน่วแน่ว่า เราจะไปถึงมาตรฐานตามพระฉายาที่เราถูกสร้างขึ้น เพื่อจุดประสงค์ในการสะท้อนพระฉายนั้น เรายอมให้พระเจ้ากระทำกิจภายในเรา เพื่อจะบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นในความคิด คำพูด และการกระทำ เราเพิ่มพูนและแบ่งปันความรักอย่างเดียวกันกับที่พระเจ้าทรงเทมาเหนือเราหรือไม่ เรากำลังประพฤติตามทางที่สะท้อนความจริง ความยุติธรรม และความไว้วางใจหรือไม่ แต่การเข้าใจพระลักษณะของพระเจ้า ควรจะทำให้เรากลายเป็นคนดีกว่าเดิม ผ่านการยอมรับความรักของพระองค์ด้วยใจกตัญญู และอุทิศตัวอย่างมุ่งมั่นที่จะเป็นเหมือนพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ที่เรารู้จักรัก และรับใช้ เป็นการช่วยเราให้เข้าใจจุดประสงค์ของการตีสอน และการทนทุกข์ยากลำบาก ซึ่งก็เป็นเครื่องมือที่จะมีความมุ่งหมายที่ดีที่พระเจ้าผู้ไม่เพียงสนับสนุนเราทรงเตรียมไว้ แต่พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งที่เป็นไปได้เพื่อช่วยเรา ในเส้นทางแห่งการเติบโตของเรา

กิจกรรมเดินป่าของพี่น้องจากศูนย์ประกาศ RCC

กิจกรรมเดินป่าของพี่น้องจากศูนย์ประกาศ RCC

คริสเตียนแบบสุก ๆดิบ ๆ

ผู้เผยพระวจนะโฮเซอาใช้เผ่าเอฟราอิมเป็นตัวแทนของอิสราเอลทางตอนเหนือในบทกวีของท่าน ในการตักเตือนที่เต็มไปด้วยสีสันนั้น ท่านเขียนว่า เอราอิมกลายเป็น "เหมือนขนมปังปิ้งที่ไม่ได้พลิกกลับ" (ฮซอ. 7:8)
พระเจ้าไม่มีวันโอนอ่อนกับความบาป พระองค์ได้ให้พระบุตรองค์เดียวเข้ามาในโลก เพื่อไถ่เราจากโทษของความบาป (ยน. 3:16)
ฉะนั้นอย่าให้เราเป็นคริสเตียนแบบสุก ๆดิบ ๆ คือ อ้างพระสัญญาเรื่องการอภัยโทษบาป แต่ยังใช้ชีวิตตามใจตนเองที่เป็นการผิดต่อนำพระ ทัยพระเจ้า การตอบสนองอย่างสมควรต่อพระเมตตาและพระคุณของพระเจ้า คือ การปรนนิบัติพระองค์ด้วยความถ่อมใจและด้วยความรักเท่านั้น

ศึกษาพระคำร่วมกันของศูนย์ประกาศ RCC

ฉันจะรู้จักพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ได้อย่างไร?

พระเจ้ามีอยู่จริงหรือ ถือเป็นคำถามสำคัญ แต่การรู้จักพระเจ้านั้นสำคัญยิ่งมากกว่านัก เจ.ไอ.แพ็คเกอร์เขียนไว้ว่า
"เราถูกสร้างขึ้นเพื่ออะไร" ? เพื่อให้รู้จักพระเจ้า
"เราควรมีเป้าหมายอะไรในชีวิต" ? เพื่อดำเนินชีวิตไปกับพระเจ้า
"ชีวิตนิรันดร์ทีพระเยซูประทานให้คืออะไร" ? เพื่อได้ไปอยู่กับพระเจ้า
"สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตคืออะไร" ? การได้รู้จักและเชื่อพึ่งในพระเจ้า
"อะไรที่มนุษย์ทำแล้วพระเจ้าพอพระทัยที่สุด" ? รักพระเจ้าและเชื่อฟังในพระองค์

"แต่ใครจะช่วยให้เรารู้จักได้" ? เรามาดูพระดำรัสที่พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า

" อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะได้อยู่ที่นั่นด้วย และท่านจะรู้จักทางที่เราจะไปนั้น " โธมัสทูลพระองค์ว่า " พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์เสด็จไปที่ไหน พวกข้าพระองค์จะรู้จักทางนั้นไดอย่างไร " พระเยซูตรัสกับเขาว่า " เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไป ท่านก็จะรู้จักพระองค์ และได้เห็นพระองค์ " (ยน. 14:1-7)

เราขอเชิญชวนให้คุณยอมรับว่า "คุณได้ทำบาป และต้องการองค์พระผู้ช่วยให้รอด" ขอให้ตระหนักว่า "พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อคุณ" และเชื่อตามที่ยอห์นเขียนไว้ว่า " แต่บรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า " (ยน.1:12)

คราบแห่งความบาปในชีวิตของเรา

รอยเปื้อนและคราบสกปรกทุกอย่าง เช่น คราบสนิม น้ำมัน เชื้อรา คราบผลไม้ ดินสอ ปากกา และอื่น ๆ เราสามารถขจัดคราบต่าง ๆเหล่านี้ให้หมดสิ้นได้ด้วยสารละลายต่าง ๆ หากแต่คราบที่เกิดจากความบาปในชีวิตของเราไม่สามารถที่จะขจัด หรือกำจัดให้หมดสิ้นได้ เพราะเป็นคราบที่ฝังลึกและน่าเกลียด จากความคิดและคำพูดร้าย ๆ ความอิจฉา ความลำเอียง และการกระทำที่น่าละอายทุกอย่างที่ผิดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า น้ำตาทำอะไรมันไม่ได้ ความกระตือรือร้นก็ลบมันไม่ได้ และไม่มีอำนาจใด ๆในโลกนี้สามารถลบความบาปที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราได้เลย มีหลายคนคิดและเชื่อว่าหากเราใช้ชีวิตอย่างปกติและหมั่นกระทำความดีมาก ๆเพื่อลบล้างความชั่วต่าง ๆที่ผ่านมา วิธีนี้ก็อาจจะทำให้ความบาปได้ถูกชำระไปแล้ว แต่สิ่งที่หลายคนคิดนั้นก็นับว่าเป็นวิธีที่ดีสำหรับเขาเหล่านั้นในการเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวของเขาเองและต่อสังคมทั่วไปมากยิ่งขึ้น แต่แท้ที่จริงแล้วไม่มีใครเลยสักคนเดียวในโลกนี้ที่สามารถกระทำความดีได้ครบถ้วนตลอดเวลา 24 ชั่วโมง เพราะว่าในขณะที่เราตั้งใจจะกระทำความดี ความชั่วก็มักจะผุดขึ้นมาจากความคิดของเราและเป็นเหตุให้เราเผลอกระทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ ๆ เช่น การมุสาหรือการโกหก ที่คนเรามักจะกระทำทุกวัน อาจจำเป็นต้องโกหกเพราะกลัวคนอื่นจะเสียใจ อาจจำเป็นต้องโกหกเพื่อเป็นการแก้ตัวให้พ้นผิดโดยพูดหรือกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามเสมอ อาจจำเป็นต้องโกหกเพราะกลัวคนอื่นจะโกรธ หรือ อาจจำเป็นต้องหยิบฉวยและนำสิ่งของของคนอื่นมาใช้ก่อนโดยที่ยังมิได้รับการอนุญาตจากเจ้าของเสียก่อนซึ่งถือเป็นการขโมย เหล่านี้คือความบาปที่เพิ่มขึ้นมาทุก ๆวัน ดังนั้นไม่ว่าเราจะทำความดีมากมายแค่ไหนเพียงใดก็ตาม ก็ยังไม่สามารถลบล้างบาปของเราได้อยู่ดี เพราะว่าในขณะที่เราพยายามทำความดี เราก็มักจะกระความชั่วไปด้วยพร้อม ๆกันอยู่เสมอทุกวัน พระคัมภีร์บอกถึงสิ่งที่เราทุกคนต้องการ นั่นคือ "พระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น (1ยน.1:7) และนี่คือยาเพียงขนานเดียวที่ได้ผลแท้จริงสำหรับมนุษย์ทุกคน

กิจกรรมชายหาดของพี่น้องจากศูนย์ประกาศ RCC

สอนภาษาอังกฤษฟรีโดยครูชาวต่างชาติเจ้าของภาษาที่ศูนย์ประกาศ RCC

ถ่ายรูปร่วมกันของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ศูนย์ประกาศ RCC

ดำเนินชีวิตที่ถ่อมใจไปกับพระเจ้า

อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์ (1 ยน.2:15-17)

กิจกรรมเดินป่าของพี่น้องจากศูนย์ประกาศ RCC

ศูนย์การประกาศพระคริสต์ RCC (คริสตจักรของพระคริสต์ วัชรพล)

ศูนย์การประกาศพระคริสต์ Ramkhamhaeng Christian Center (RCC) เป็นส่วนหนึ่งของงานการประกาศฯของคริสตจักรของพระคริสต์ วัชรพล ซึ่งได้เปิดทำการประกาศพระคริสต์มาแล้วร่วม 20 ปี ศูนย์จะเปิดการสอนภาษาอังกฤษ ทั้งพูด อ่าน เขียนโดยครูผู้สอนชาวต่างประเทศเจ้าของภาษาฟรี (ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆทั้งสิ้น) ทางศูนย์ยินดีต้อนรับทุกท่านไม่ว่าท่านจะเป็นนักศึกษา หรือคนทำงาน หรือมีอาชีพค้าขาย หากท่านประสงค์จะฟื้นฟูภาษาอังกฤษของท่าน เรายินดีอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือท่านโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆทั้งสิ้น ศูนย์ประกาศฯ RCC ตั้งอยู่ในซอยรามคำแหง 22 บนถนนรามคำแหง โทรมาหาเราสิครับ (02) 718-7556

รับประทานอาหารร่วมกัน ที่ศูนย์ประกาศ RCC

กิจกรรม(ยามว่าง)ที่ชายหาดระยองของศูนย์ประกาศ RCC

การทนทุกข์ทรมาณที่กางเขน

ในฐานะคริสเตียน เราเข้าใจดีถึงความสำคัญฝ่ายวิญญาณของการเสียสละของพระคริสต์ที่กางเขน แต่เรามักลืมความทรมาณแสนสาหัสของพระองค์ที่ต้องเผชิญ ซึ่งเลวร้ายเกินกว่าที่จะเข้าใจได้
หนังสือเรื่อง กล้าที่จะเชื่อ (Dare to Believe) แดน เบาแมนน์ได้แบ่งปันความคิดบางอย่างที่จะทำให้เราซาบซึ้งในสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทำเพื่อเรามากยิ่งขึ้น เขาเขียนไว้ว่า "เราอาจจะทำให้กางเขนดูพิเศษอย่างไม่ฉลาด หรือบางครั้งก็โดยไม่รู้ตัว ทั้งเพชรพลอยและยอดหลังคาคริสตจักร มักเป็นสิ่งประดับและดูน่าดึงดูด แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับการตรึงที่กางเขนอันแท้จริงเลย
ในศตวรรตที่ 1 การตรึงที่กางเขนเป็นวิธีตายต่อหน้าสาธารณชนที่เจ็บปวดที่สุด นักโทษจะถูกตรึงไว้กับกางเขนไม้ ถูกตอกตะปูเข้าที่มือและเท้า จากนั้นกางเขนจะถูกยกขึ้นและปักลงพื้น น้ำหนักและแรงโน้มถ่วงจะฉีกเนื้อของผู้ถูกตรึงและรั้งร่างนั้นไว้ด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงและสาหัส นักประวัติศาสตร์บอกว่า แม้แต่ทหารก็ไม่เคยชินกับภาพที่น่ากลัวเช่นนั้น และมักอาศัยเครื่องดื่มแรง ๆเพื่อช่วยกดความรู้สึกนี้"

มุมจับรางวัลสอยดาว ในงานปีใหม่ Back To School 2008

ความสัตย์จริง

"เราเป็นประตู ถ้าผู้ใดเข้าไปทางเราผู้นั้นก็จะรอด เขาจะเข้าออกแล้วก็จะพบอาหาร (ยน.10:9) พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา" (ยน.14:6) "เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย" (ยน.15:5) "คนทั้งหลายที่กำลังจะพินาศก็เห็นว่ากางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่พวกเราที่กำลังจะรอดเห็นว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพราะตามที่ทรงกำหนดไว้ตามพระสติปัญญาของพระเจ้า โลกไม่รู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน พระเจ้าจึงทรงโปรดช่วยคนที่เชื่อให้รอดโดยคำเทศนาเรื่องโง่ ๆ" (1 คร. 11:8,21) "เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว"(2 คร.5:10) เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสว่า "เรามีชีวิตอยู่แน่นอนฉันใด ทุกคนจะคุกเข่ากราบเรา และทุกลิ้นจะสรรเสริญพระเจ้า" ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระเจ้า (รม.14:11-12)

การนมัสการที่มีชีวิตชีวา

เราจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการนมัสการฯในคริสตจักร ก็ต่อเมื่อเราเตรียมใจมาและเข้าร่วมอย่างกระตือรือร้น เราต้องร้องเพลงนมัสการอย่างสุดหัวใจ อธิษฐานเงียบ ๆในขณะที่มีผู้ชายนำที่ประชุมอธิษฐาน และในขณะที่กำลังรับฟังพระวจนะผ่านผู้รับใช้ในขณะนมัสการฯด้วยหัวใจและความคิด และด้วยจิตใจที่ใคร่ครวญถึงน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าโดยพระวจนะนั้น
(ยน. 3:23-24) "..ผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะต้องนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่า พระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง "

นักศึกษาสถาบันพระคริสตธรรมวัชรพล

นักศึกษาสถาบันพระคริสตธรรมวัชรพล
ส่วนหนึ่งของนักศึกษาและผู้อำนวยการสถาบันพระคริสธรรม

อยู่กับภาพลวงตา

ภาพลวงตา หมายถึง "ความผิดพลาดในการรับรู้ความจริง" นักมายากลใช้ภาพลวงตาเพื่อตบตาผู้ชม แต่ภาพลวงตาบางอย่างมีอันตรายถึงชีวิต ถ้าหากเราไล่ตามภาพลวงตาของแหล่งน้ำในทะเลทราย โดยคิดว่านั่นเป็นแหล่งน้ำจริงๆ เราก็อาจจะตายเพราะขาดน้ำ
ภาพลวงตาที่มีอันตรายมากที่สุดคือ ภาพลวงตาฝ่ายจิตวิญญาณ ในยุคของมาลาคี ผู้ชายไม่เห็นความสำคัญของพันธสัญญาแห่งการสมรสอีกต่อไป พวกเขาอย่าขาดจากภรรยาโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร แม้คนของพระเจ้าก็พูดว่า "ทุกคนที่กระทำความชั่วก็เป็นคนดีในสายพระเนตรพระเจ้าและพระองค์ทรงพอพระทัยคนเหล่านั้น" เพราะพวกเขามองสิ่งต่าง ๆไม่เหมือนกับที่พระเจ้าทอดพระเนตร
เราทุกคนมีแนวโน้มที่จะหลอกตนเองอยู่แล้ว และความบาปบดบังความสามารถในการมองสิ่งผิดและถูกของเรา "จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด...ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า" (ยรม.17:9)
เราต้องนำความจริงเข้าแทนที่การใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ภาพลวงตาเช่นนี้ แต่สิ่งนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ความยากลำบากและความเจ็บปวดจะนำความผิดพลาดออกจากชีวิตของเรา และเมื่อนั่นเราก็จะสามารถเติมความจริงลงในชีวิตที่ว่างเปล่านั้นได้
ขณะที่เราพึ่งพาพระวิญญาณของพระเจ้า เพื่อทรงช่วยเราเรียนรู้และเชื่อฟังคำสอนจากพระคัมภีร์ ภาพลวงตาต่าง ๆจะถูกแทนที่ ด้วยความจริงแห่งความรักของพระเจ้าและการอภัยโทษบาปในพระคริสต์ นี่เป็นความจริงเดียวที่จะตอบสนองความต้องการในส่วนลึกที่สุดในจิตใจของเรา และนำเราไปถึงความปรารถนาที่อยากจะเป็นเหมือนพระองค์

ทรายในรองเท้า

ลองจินตนาการสิว่า จะมีอุปสรรคอะไรขัดขวางชายคนหนึ่งที่เดินเท้าจากเมืองนิวยอร์คถึงซานฟรานซิสโก และชายคนนี้ก็สามารถทำได้สำเร็จ เมื่อถูกถามถึงสิ่งที่เป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุด เขาบอกว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการเดินทางครั้งนั้น ไม่ใช่การเดินขึ้นภูเขา หรือการข้ามทะเลทรายที่ร้อนระอุ แห้งแล้ง และกว้างใหญ่ที่เขาเคยประสบมา เขายอมรับว่า "สิ่งที่เกือบจะทำให้ผมต้องยอมแพ้ คือ ทรายที่เข้าไปในรองเท้าของผม"
เรื่องนี้ทำให้ผมได้คิดว่า เราอาจพ่ายแพ้ฝ่ายจิตวิญญาณโดยเริ่มต้นจากสิ่งรบกวนเล็ก ๆน้อย ๆ เรายอมปล่อยให้คำพูดที่ทำลายความรู้สึก ความท้อแท้ หรือความเข้าใจผิดทำให้เราล้มลง เรายอมให้คนรอบข้างมีอิทธิพลเหนือเราในเรื่องที่แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย..แต่ก็เป็นสิ่งทีผิด แทนที่เราจะมุ่งมั่นหลีกเลี่ยงสิ่งชั่วร้ายไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ (สภษ 4:14-12) เรากลับยอมอะลุ่มอล่วย และเราละเลยที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า เพื่อขอความช่วยเหลือและการยกโทษ
เซอร์ฟรานซิส เดรค นักสำรวจชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 16 ผู้ที่เดินเรือมาแล้วทั่วโลก กำลังข้ามแม่น้ำเทมส์ในขณะที่พายุกำลังโหมกระหน่ำจนเกือบจะจมเรือของเขา เขาร้องว่า "คนที่เคยผ่านมรสุมในมหาสมุทรมามากมายอย่างฉันจะมาต้องมาตายเสียในแม่น้ำเล็ก ๆนี้หรือนี่"
เป็นการฉลาดที่เราจะถามตัวเองว่า "ตัวฉันที่เดินในความเชื่อมาถึงขนาดนี้ จะยอมแพ้เพราะ "ทรายในรองเท้าหรือ ?" และเราต้องตอบอย่างแน่วแน่ว่า " ไม่มีวัน "

ทีม LST ถ่ายรูปร่วมกับพี่น้องระหว่างกิจกรรมเซลกรุ๊ฟ ณ คริสตจักรของพระคริสตวัชรพล

สลัดทิ้งตัวถ่วง

กองทัพของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชกำลังรุกเข้าไปยังเปอร์เซีย ครั้งหนึ่งได้เกิดวิกฤติที่ทำให้กองทัพนี้เกือบจะพ่ายแพ้ในการสงคราม เพราะสิ่งของมากมายที่ยึดมาได้จากการรบครั้งก่อน ๆ ทำให้ทหารต้องกังวลและแบกภาระน้ำหนักมาก จนทำให้การสู้รบของทหารไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
กษัตริย์อเล็กซานเดอร์จึงออกคำสั่งให้ทหารทุกคนนำข้าวของต่าง ๆที่ยึดมาได้นั้นไปกองรวมกันแล้วจุดไฟเผาทิ้งเสีย พวกทหารต่างพากันบ่นด้วยความนึกเสียดาย แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้เห็นประโยชน์ของคำสั่งดังกล่าว มีคนเขียนไว้ว่า "นอกจากกองทหารไม่พ่ายแพ้ล้มตาย แต่พวกเขากลับมาด้วยชัยชนะที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง"
ในฐานะทหารของพระคริสต์ เราต้องละทิ้งสิ่งที่ถ่วงเราในขณะต่อสู้กับศัตรูฝ่ายวิญญาณ เพื่อเราจะรบอย่างมีประสิทธิภาพ และเราต้องสวมเพียงยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเท่านั้น (อฟ.6:11-17)
พระคัมภีร์ยังได้เปรียบคริสเตียนเป็นนักวิ่งด้วย เพื่อจะชนะการแข่งขัน เราต้อง "ละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่" ซึ่งจะคอยรั้งเราไว้ ซึ่งจะตัดกำลังและขโมยความอดทนของเราไป (ฮบ.12:1) สิ่งเหล่านั้นอาจเป็น...ความโลภอยากได้โน่นได้นี่จนเกินความจำเป็น... ความลุ่มหลงในเงินทอง... การหาความเพลิดเพลินอย่างไม่สิ้นสุด... การเป็นทาสของราคะตัณหา... การยึดถือกฏเกณฑ์ต่าง ๆจนกลายเป็นภาระหนักอึ้ง... แล้วพีน้องล่ะ! เป็นแบบไหน?